บทที่ 2.ปัจจัยพื้นฐานของการเทรด Forex

2 พฤษภาคม 2022
webmaster

บทที่ 2.ปัจจัยพื้นฐานของการเทรด Forex

บทที่ 2.ปัจจัยพื้นฐานของการเทรด Forex

การเทรด Forex จะมีอยู่ 2 ปัจจัยที่เป็นพื้นฐานที่ใช้ในการเทรด

  1. การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamental analysis
  2. การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค หรือ Technical analysis

1. การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamental analysis

การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือวิธีการที่มองหาทิศทางตลาดผ่านทางทิศทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองซึ่งมีผลต่อ อุปสงค์ และ อุปทาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คุณมองไปที่เศรษฐกิจของแต่ละประเทศว่า ประเทศไหนดีกว่า และเศรษฐกิจประเทศไหนที่กำลังย่ำแย่ ความคิดพื้นฐานในการวิเคราะห์แบบนี้ คือ ถ้าประเทศที่มีเศรษฐกิจดี ค่าเงินของพวกเขาก็จะดีตามไปด้วย เพราะว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจดีกว่า ความน่าเชื่อถือต่อค่าเงินนั้นย่อมมีมากกว่า ข่าวที่มีผลต่อตลาด Forex มีดังนี้

  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ( NFP คือ Non-Farm Payroll )
  • ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ( PMI คือ Purchasing Managers Index )
  • ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค ( CPI คือ  Consumer Price Index )
  • ตัวเลขการขายปลีก ( Retail Sales )
  • ตัวเลขสินค้าประเภทคงทน ( Durable Goods )
  • ตัวเลขการขึ้นและลดอัตราดอกเบี้ย ( Funds Rate )

2.การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค หรือ Technical analysis

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการศึกษาทิศทางของราคา หรือเรียกอีกอย่างว่า การวิเคราะห์ กราฟ แนวคิดก็คือ เราสามารถใช้ทิศทางการเคลื่อนไหวของในอดีต และพื้นฐานของพฤติกรรมราคา มาตัดสินว่าราคาจะไปในทิศทางใด โดยการดูกราฟนั้นจะทำให้คุณบอกทิศทางหรือรูปแบบของกราฟ ซึ่งสามารถช่วยหาโอกาสในการเทรดดี ๆ ได้ ซึ่งรูปแบบทั่วไปส่วนใหญ่ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มักเห็นในตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศมีดังนี้

  • Elliot Waves
  • Fibonacci
  • Parabolic SAR
  • Pivot Points
  • RSI
  • MACD
  • Moving Average
  • Bollinger Bands

ประเภทการเทรดการ เทรดแบ่งได้ 4 แบบ โดยแบ่งจากระยะเวลาในการถือ Order

  1. Scalping Trade
  2. Day Trade
  3. Swing Trade
  4. Swap Trade

1.Scalping Trade เป็นการเทรดที่ใช้เวลาถือ Order น้อยที่สุด ใน 4 ชนิดการเทรด

  • ข้อดี ทำการเทรดในเวลาสั้นๆ ถึงแม้จะขาดทุนก็ไม่มาก แล้วเวลาในการถือ Order น้อย อ่านกราฟง่าย
  • ข้อเสีย ได้กำไรน้อย และต้องคอยจ้องกราฟ+หน้าจอตลอดเวลา ไม่ได้ Swap
  • เวลาในการถือ Order ไม่กี่วินาที หรือ ไม่กี่นาที

2.Day Trade ใช้เวลาถือ Order มากกว่าแบบแรก จะทำการเทรดภายใน 1 วัน 1ชั่วโมงครั้ง หรือ หลายๆ ชั่วโมงครั้ง จะไม่ถือ Order ข้ามคืน

  • ข้อ ดี เนื่องจากถือ Order นานกว่าแบบแรก จึงทำให้มีโอกาสได้กำไรจากการเทรดที่สูงกว่า กราฟอ่านไม่ยากมาก เนื่องจากเป็นกราฟระยะสั้น ไม่ต้องจ้องจอคอมตลอดเวล
  • ข้อเสีย คงเป็นที่บัญชีของDay Trade บ างบริษัทที่จะบังคับตัด Order หลัง 1วัน และไม่ได้ ค่า Swap
  • เวลาในการถือ Order หลายนาที หลายชั่วโมง แต่ภายใน 1 วัน

3.Swing Trade แบบ ที่ 3 ก็จะมีระยะเวลาในการถือ Order มากขึ้นไปอีก จะถือ Order หลายๆวัน หรือหลายๆ สัปดาห์ ก็จะได้กำไร 2 ทางถ้าเราเก็งค่าเงินถูก คือ ค่าSwap และกำไรจากค่าเงิน

  • ข้อดี ได้ค่า Swap และ เนื่องจากถือ Order ไว้นานจึงมีโอกาสได้กำไรมาก ไม่ต้องคอยดูจอคอมและกราฟตลอดเวลา
  • ข้อเสีย กราฟจะอ่านยากขึ้น และอาจจะต้องในการวิเคราะห์ทาง Fundamental เข้ามาช่วย เนื่องจากเริ่มเป็นกราฟระยะยาว แน่นอนว่ามีโอกาสได้กำไรมากก็จริง ความเสี่ยงที่จะขาดทุนก็มีมากตามไปด้วย และที่สำคัญถึงแม้จะได้ค่า Swap ทุกวัน แต่บางคู่เงินก็จะมี Swap เป็น ลบ ก่อนซื้อจึงต้องศึกษาดีๆ
  • เวลา ในการถือ Order หลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน

4.Swap Trade การเทรดแบบสุดท้าย เป็นการเทรดที่ต่างจากแบบอื่นๆ โดยจะเน้นไปที่การหวังกำไรจากค่า Swap (ส่วนต่างดอกเบี้ยของธนาคารแต่ละประเทศ รายละเอียดของ Swap ไว้จะอธิบายทีหลังนะ) จะคือเงินเก็บในรูปแบบเงินตราต่างประเทศนั่นเอง แต่ข้อดีกว่าคือได้ ค่า Swap เข้าบัญชีทุกวัน และมีระบบ Leverage ที่ทำให้เราเล่นจำนวนเงินได้มากกว่าเงินทุนจริงที่เรามี

  • ข้อ ดี ได้ค่า Swapเข้าบัญชีทุกวัน และไม่ต้องดูจอคอม และเชคค่าเงินตลอดเวลา
  • ข้อเสีย ได้ค่า Swap มากก็จริง แต่ถ้าในภายหลังค่าเงินไม่เป็นไปตามที่เราคาดก็มีโอกาสขาดทุนได้ เนื่องจากต้องถือ Order ระยะยาวเป็นปี หรือหลายปี จึงต้องใช้การวิเคราะห์ทาง Fundamental เข้ามาช่วย คาดการยากกว่ากราฟระยะสั้น อ้อ คู่เงินที่ Swap เป็น ลบก็มีต้องศีกษาดีๆ เช่นกัน    เวลาในการถือ Order 1 ปีขึ้นไป

การติดตั้ง MT4

1. MT4 ย่อมาจากคำว่า MetaTrader 4 trading terminal

2. ไปที่หน้าเว็บของโบรคเกอร์ไหนก็ได้ ตามภาพด้านล่าง ผมเลือก FBS เลือกติดตั้งบน windows

3.หลังจากดาวน์โหลดเสร็จก็จะได้ไฟล์หน้าตาแบบนี้

4.ดับเบิ้ลคลิกเพื่อทำการติดตั้ง คลิกที่ Run

5.คลิก Yes,I agree with all terms of the license agreement แล้วกด Next

6.คลิก  Finish หลังจากนี้โปรแกรมจะเปิดขึ้นเองโดย Auto

7.หน้าตาโปรแกรม MT4 โดยทั่วไปก็จะเป็นแบบนี้นะครับ

8.เปิดบัญชีเดโม คลิกไปที่ FBS Demo แล้วคลิก Next

9.คลิกที่ New demo account แล้วคลิก Next

10.กรอกรายละเอียดให้ครบแล้วติ๊ก I agree แล้วคลิก Next

11.หลังจากได้หมายเลขบัญชีเทรดเดโม,Password,Investor หลังนั้นคลิก Finish

12.หน้าตาโปรแกรม MT4 ก็จะเป็นแบบที่เห็น หมายเลขบัญชีเทรดเดโมมาแล้ว (เงินปลอมแต่ว่าสภาวะตลาดจริง)

ประเภทของกราฟ

  1. Line chart
  2. Bar chart
  3. Candlestick chart

1. Line Charts

เป็นกราฟแบบธรรมดาที่วาดเส้นจากราคาปิดที่หนึ่งไปยังราคาปิดอีกจุดหนึ่ง เมื่อเอาเส้นมาเชื่อมกัน เราก็จะเห็นราคาเคลื่อนไหว ในช่วงเวลานั้น ๆ

นี่เป็นตัวอย่างของ line chart ของ EUR/USD

2.Bar chart

ก็แสดงราคาปิดเหมือนกัน แต่ว่าก็บอกราคาเปิดได้ด้วย พร้อมทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคา เส้นแนวตั้งที่แสดงจุดที่อยู่ต่ำสุดของบาร์แสดง ราคาที่ต่ำสุดที่มีการเทรดในช่วงเวลานี้ ขณะที่จุดยอดสุดของบาร์ก็คือราคาสูงสุดของช่วงเวลาดังกล่าวเหมือนกัน ดังนั้นมันจึงบอกระยะของราคาที่เคลื่อนไหว และเส้นแนวขวางด้านซ้ายของบาร์นั้น เป็นราคาเปิด และด้านขวาของบาร์เป็นราคาปิด

นี่เป็นตัวอย่างของ bar chart ของ EUR/USD

หมายเหตุ: คำว่า “bar” หมายถึงขีดหนึ่งขีดบนชาร์ท bar 1 bar แสดงหนึ่งช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งชั่วโมง เมื่อคุณเห็นคำว่า ‘bar’ คุณก็ต้องรู้ว่ามันอยู่ในช่วงเวลา ( time frame ) ใด

Bar charts อาจจะเรียกว่า “OHLC” เพราะว่า กราฟเหล่านี้บอกได้ถึงราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และราคาปิด (the Open, the High, the Low, and the Close) สำหรับค่าเงินค่าเงินหนึ่ง ตามตัวอย่างดังนี้

Open: เส้นแนวนอนทางซ้ายเป็นราคาเปิด

High: จุดยอดของเส้นแนวตั้งบอกถึงราคาที่สูงที่สุดของเวลาที่ใช้อยู่

Low: จุดต่ำสุดของเส้นแนวตั้ง บอกถึงราคาที่จุดต่ำสุดของเวลาที่ใช้อยู่

Close: เส้นแนวนอนทางด้านขวาคือราคาปิด

3 . Candlestick Charts

หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือกราฟแท่งเทียนซึ่งแสดงข้อมูลประเภทเดียวกันกับ bar chart, แต่ว่าในรูปแบบที่ดูดีกว่า และมีมิติมากกว่า

กราฟแท่งเทียนสามารถบอกราคาสูงสุดและต่ำสุดด้วยการใช้เส้นแนวตั้งแนวนอน อย่างไรก็ตามกราฟแท่งเทียน มีกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ อยู่ตรงกลางในระยะระหว่าง ราคาเปิดกับราคาปิด โดยทั่วไปแล้ว ถ้าบล็อคที่อยู่ตรงกลางมีสี แสดงว่าค่าเงินนั้นปิดต่ำกว่าราคาเปิด

ตามตัวอย่างข้างล่าง สี่ที่เติมลงไปเป็นสีดำ สำหรับเส้นด้านบนของบล็อคเป็นราคาเปิด และเส้นด้านล่างของกล่องสี่เหลี่ยมเป็นราคาปิด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด บล็อคก็จะมีสีขาว หรือว่าไม่มีสีใด ๆ

รูปร่างทั่วไปของแท่งเทียน   General Of CandleStick Sharp

แท่ง เทียนจะประกอบด้วย ราคาปิด ราคาเปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ซึ่งระยะระหว่างราคาปิดและราคาเปิดเราจะเรียกว่า ตัวแท่ง ( Body)  ไส้เทียนด้านบน คือ Upper Shadow และ ไส้เทียนด้านล่าง Lower Shadow

กราฟแท่งเทียนจะบอกราคาสูงสุด ต่ำสุด และราคาเปิด และราคาปิด

  • ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดแล้วกราฟแท่งเทียนก็จะถูกวาดขึ้น(ปกติจะเป็นสีขาว)
  • ถ้าราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด กราฟแท่งเทียนก็จะถูกวาดขึ้น(ปกติเป็นสีดำ)
  • สิ่งที่ถูกวาดหรือว่าที่เติมสีลงไปนั้นเรียกว่าตัวแท่งเทียน หรือว่า body
  • เส้นบาง ๆ ที่ทะลุขึ้นข้างบนหรือข้างล่างของตัว body แสดงให้เห็นราคาต่ำสูงเป็นไส้เทียน
  • ที่จุดสูงสุดของไส้เทียนเรียกว่า “high”.
  • ที่จุดต่ำสุดของไส้เทียนเรียกว่า “low”.

ส่วนรูปด้านล่างเป็นรูปแบบเบสิคของกราฟ Candlestick

นี่เป็นตัวอย่างของ Candlestick Charts ของ EUR/USD

อ่านบทความ Forex Basic ทั้งหมด

สมัครเปิดบัญชีเทรดกับเรารับ ฟรี SERVER ฟรี VPS และ ระบบเทรดอัตโนมัติ หรือ Expert Advisor (EA)