บทที่ 6.Breakout Trading
บทที่ 6.Breakout Trading
Breakout เกิดขึ้นเมื่อราคามันเกิด ทะลุออกมา จากแนวของราคาที่วิ่งอยู่ปกรติ
Breakout สามารถเกิดขึ้นเมื่อราคาถึงจุด ๆ หนึ่งหรือ ทะลุแนวรับแนวต้าน Pivot Point และเส้น Fibonacci หรือเครื่องมืออื่น ๆ
การเทรดแบบ Breakout จุดประสงค์คือ การเข้าสู่ตลาดเมื่อราคาทะลุจุดดังกล่าวออกมาและเราจะเกาะเทรนด์ไปจนกระทั่งความผันผวนนั้นหมดลง เราจะใช้ความผันผวนเป็นความได้เปรียบของเรา
แทนที่เราจะกระโดดเข้าตลาดตอนที่มันผันผวนมากเราควรจะรอให้มันมีความผันผวนต่ำดีกว่า
วิธีนี้คุณสามารถกำหนดการเล่นของคุณและเพราะเมื่อเกิด Break Out คุณก็พร้อมที่จะฉวยโอกาสจากความผันผวนนี้
วิธีการประเมินความผันผวน
- ความผันผวนเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้ในการหาจุด Break out ทำให้เรามีโอกาสในการเทรดได้
- ความผันผวนนั้นบอกการแกว่งตัวของราคาตามช่วงเวลาต่าง ๆ และสิ่งนี้เราจะถูกใช้ในการหาจุด Break out
- มีเครื่องมือไม่กี่ชนิดที่สามารถช่วยคุณกะเกณฑ์ความผันผวนของค่าเงินได้ การใช้ Indicator ช่วยคุณได้มากในการหาจุด Break Out
1.Moving Average
- เราแค่ใส่ Moving Average ในการประเมินการเคลื่อนไหวเฉลี่ยของตลาดในจานวน x ของช่วงเวลาใดช่วงหนึ่ง ซึ่ง X คือราคาที่คุณอยากให้มันเป็น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใส่เส้น Moving Average 20 ในกราฟวัน มันจะแสดงให้คุณเห็นราคาเฉลี่ยของกราฟ 20 วันที่ผ่านมา
2. Bollinger Bands
- Bollinger bands เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการใช้วัดความผันผวนเพราะว่ามันออกแบบมาเพื่อสิ่งนี้.
- Bollinger bands ประกอบด้วยเส้นสองเส้นซึ่งจะประกอบด้วยเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 เส้น อยู่ข้างล่างและข้างบนเส้น Moving Average สาหรับช่วงเวลา X และ ที่ราคา X และถ้าเราตั้งค่าที่ 20 เราก็จะได้เส้น Simple Moving Average 20 และเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐานสองเส้นซึ่งเส้นหนึ่งคือเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน +2 อยู่ข้างบน และเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐานค่า -2 อยู่ข้างล่างเส้น Simple Moving Average
- เมื่อ Bollinger Band นั้นแคบลง มันจะบอกว่าค่าความผันผวนนั้นมีต่ำ
- และเมื่อ Bollinger Band นั้นกว้างขึ้น มันบอกเราว่าค่าความผันผวนในตลาดมีสูง
3. Average True Range (ATR)
- ATR เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการวัดค่าความผันผวนเพราะว่ามันบอกเราเกี่ยวกับช่วงราคาเฉลี่ยของตลาดใจจานวน X ของช่วงเวลานั้น ซึ่ง X เป็นอะไรก็ตามที่คุณอยากให้เป็น ดังนั้นถ้าคุณตั้งค่า ATR 20 ในกราฟ Daily มันจะเป็นค่าช่วงราคาเฉลี่ยของ 20 วันที่ผ่านมา
- เมื่อ ATR กาลังลดลง มันบอกเราว่าค่าความผันผวนก็ลดลงด้วย และเมื่อ ATR สูงขึ้น มันก็จะบอกเราว่าค่าความผันผวนเพิ่มขึ้นแล้ว
ประเภทของ Breakouts
เมื่อคุณเทรดโดยใช้ Breakout คุณจะต้องรู้ว่า มีประเภทของ Breakouts 2 ประเภทดังนี้:
- Breakouts แบบเทรนด์ต่อเนื่อง
- Breakouts แบบเกิดจุดกลับตัว
ถ้าคุณรู้ว่า Breakouts ที่เกิดเป็นประเภทไหนจะทำให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดในช่วงเวลานั้น
Breakouts มีความสำคัญเพราะว่า Breakout บอกการเปลี่ยนแปลงของ Supply กับ Demand ของค่าเงินในช่วงที่คุณกำลังเทรด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเคลื่อนไหวของราคาซึ่งมีโอกาสในการทำกำไรซ่อนอยู่ด้วยถ้าคุณมองมันออก
1. Breakout แบบเทรนด์ต่อเนื่อง
- บางครั้งเมื่อทิศทางราคามีการเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จะมีการหยุดพักทำราคาฐานเสมอ ซึ่งนี่เกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อและผู้ขายหยุดเพื่อรอดูว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ราคา มีการแกว่งตัว เราเรียกว่า Consolidation (จุดที่ราคามีความแข็งแกร่งจนไม่สามารถผ่านไปได้)
2.Breakouts แบบจุดกลับตัว
- Breakouts แบบจุดกลับตัว มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกันกับ Breakout แบบเทรนด์ต่อเนื่องและหลังจากการเกิดเทรนด์มายาวนาน ราคาอาจจะมีการหยุด และแกว่งตัวแต่ข้อแตกต่าง ของจุด Breakouts แบบจุดกลับตัวนี้คือ เทรดเดอร์ตัดสินใจว่าเทรนด์นั้นหมดแล้วและได้ดันราคาไปในทิศทางตรงข้ามกับทิศทางก่อนหน้า
สัญญาณ Breakouts หลอก
- สัญญาณ Breakouts หลอกสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อราคาผ่านระดับที่แน่นอนแล้ว (แนวรับแนวต้าน หรือรูปแบบสามเหลี่ยมต่าง ๆ รวมทั้งเส้นเทรนไลน์) แต่ว่าไม่ได้เคลื่อนไหวต่อในทิศทางนั้น แต่คุณจะเห็นว่าราคากลับมาที่จุดแกว่งตัว
- วิธีเข้าเทรดที่ดีในการใช้ Breakout คือต้องรอจนกว่าราคาพักฐานมายังจุดที่ราคาเกิด Breakout และรอให้มันเคลื่อนไหวพยายามที่จะเกิดจุด High หรือ Low จุดใหม่ (ซึ่งขึ้นอยู่ว่าคุณเทรดทิศทางใด)
อีกวิธีหนึ่งในการต่อสู้กับ Breakouts คือไม่ต้องเทรดกับ Breakout แรกที่คุณเห็น แล้วรอดูว่าราคายังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นต่อเนื่องหรือไม่ ให้รอจังหวะที่คุณมั่นใจมากที่สุด ข้อเสียของวิธีนี้คือคุณอาจจะไม่ได้เทรดในบางจังหวะซึ่งราคาได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการพักฐาน
การระบุการเกิด Breakouts
- เหมือนกับ Breakouts ที่คุณเข้าใจ ข้อดีของ Breakout คือโอกาสที่เราสามารถมองเห็นด้วยตาของเราเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษอะไรมากนัก
- เมื่อคุณเริ่มใช้สัญญาณ Breakout คุณสามารถจะระบุสัญญาณที่ใช้ในการเทรดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
รูปแบบกราฟตอนนี้ควรจะชินกับการมองดูกราฟและจารูปแบบของกราฟต่าง ๆที่บอกจุด Breakout ได้ ดังนี้:
- Double Top/Bottom
- Head and Shoulders
- Triple Top/Bottom
- ยิ่งไปกว่านั้นจะมีเครื่องมือที่บอกจุดกลับตัวและตัว Indicator ซึ่งคุณสามารถใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจในการระบุจุด Breakout ที่เกิดจุดกลับตัวเส้น เทรนด์ไลน์ (Trend Lines)
- วิธีแรกในการระบุในการเกิด Breakout คือการขีดเส้น Trend line ในกราฟ และวาดเส้นเทรนด์ไลน์ตามแบบที่คุณเคยวาดตามเทรนด์ที่เกิดขึ้น
- เมื่อคุณวาดเส้น Trend line นั้นคุณควรจะลากจากจุด Top ของแต่ละจุดติดต่อกันอย่างน้อยสองจุด หรือว่าจุด Bottom ด้วยก็ได้เช่นกัน ยิ่งจุดที่คุณลากมาต่อกันยิ่งมาก นั่นยิ่งบอกว่าเทรนด์ไลน์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
- แล้วคุณจะใช้เทรนด์ไลน์อย่างไรให้ได้เปรียบ เมื่อราคาเขาใกล้เส้นเทรนด์ไลน์ที่คุณวาดขึ้น มีสองอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น ราคาอาจจะมาพักฐานเท่านั้น แล้วก็ไปต่อ หรืออาจจะเกิด Breakout ทะลุขึ้นเหนือเทรนด์ไลน์ และเกิดจุดกลับตัว เราต้องฉวยโอกาสจากจุด Breakouts นี้
- การดูแค่ราคาอาจจะไม่พอ ซึ่งสิ่งที่คุณต้องทำ คือใช้ Indicator หรือ เครื่องมืออื่น ๆ ในการยืนยันสัญญาณจะช่วยคุณได้มาก
- จะสังเกตว่า EUR/USD เมื่อมันทะลุเส้น Trend Line MACD ก็แสดงว่าเกิดภาวะตลาดหมี ถ้าเราใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการยืนยันสัญญาณ ซึ่งเพียงพอแล้วในการบอกว่า Breakout จะทาให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงและเราควรส่งออร์เดอร์ Sell
Channels
- อีกวิธีหนึ่งในการระบุการเกิด Breakout คือการวาดเส้น Channel ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากการใช้ Trend line ยกเว้นแต่ว่าหลังจากที่คุณวาดเส้นเทรนด์ไลน์คุณต้องวาดทั้งด้านบนและด้านล่าง
- Channels มีประโยชน์สาหรับคุณเพราะว่าสามารถบอกจุด Breakout ได้ทั้งสองด้านของเทรนด์ซึ่งลักษณะการใช้ก็ใกล้เคียงกับการใช้ Trend line คือถ้ามันเข้าใกล้เส้นใดเส้นหนึ่งและรอให้มันเกิด Break out
ให้สังเกต MACD กาลังปรากฏภาวะตลาดหมีอย่างชัดเจนเมื่อมันทะลุเส้น Channel ข้างล่างลงมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่เราควรจะส่งออร์เดอร์ Sell
การวัดความแรงของ Breakout
เมื่อเทรนด์เคลื่อนที่หรือเกิดมาได้ซักระยะ และมันเริ่มที่จะหมดแรง 2 อย่างที่อาจจะเกิดขึ้น:
1. ราคาอาจจะเคลื่อนไหวเกิดเทรนด์ต่อเนื่องในทิศทางเดียวกัน (แบบเทรนด์ต่อเนื่อง)
2. ราคาอาจจะกลับทิศทางในทิศทางตรงกันข้าม (แบบกลับตัว) ในการจะบอกว่าเทรนด์กาลังจะเกิดต่อไปอีก และ Breakout จะไม่เกิดขึ้น
Moving Average Convergence/Divergence (MACD)
- MACD สามารถใช้ได้หลายวิธี แต่ว่าวิธีหนึ่งที่น่าเย้ายวนที่สุดคือให้ดูที่เส้น (แท่ง) Histogram ซึ่ง Histogram ซึ่งแสดงความแตกต่างระหว่างเส้น Slow MACD และ Fast MACD เมื่อ Histogram ใหญ่ขึ้น หมายความว่า โมเมนตั้มเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อ เมื่อเส้น Histogram เล็กลงหมายความว่า โมเมนตั้มนั้นอ่อนแรงลง
แล้วเราจะใช้เครื่องมือนี้ในการระบุจุดกลับเทรนด์ได้อย่างไรจำได้ไหม สัญญาณเทรดที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ที่เรียกว่า Divergence และ มันเกิดขึ้นเมื่อราคาและ Indicator นั้นเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่ง MACD จะแสดงโมเมนตั้ม และโมเมนตั้มจะเพิ่มเมื่อตลาดเกิดเทรนด์ อย่างไรก็ตาม ถ้า MACD เริ่มลดลงแม้ว่าเทรนด์ยังคงไปต่อ ซึ่งหมายความว่า โมเมนตั้มเริ่มลดลงแล้วและเทรนด์ก็ใกล้จะจบแล้วเช่นกัน คุณจะเห็นว่าจากภาพราคาเคลื่อนไหวสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่า MACD นั้นเริ่มหดตัวลง นั่นหมายความว่าแม้ว่าราคายังคงเกิดเทรนด์อยู่ต่อเนื่อง แต่ว่าโมเมนตั้มนั้นเริ่มลดลง เรื่องนี้เราสามารถสรุปได้ว่าเทรนด์กาลังจะเกิดจุดกลับตัว
Relative Strength Index (RSI)
- RSI เป็นเครื่องมือที่บอก โมเมนตั้มอีกชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ยืนยันการเกิดจุดกลับตัวได้เป็นอย่างดี ตามปกติแล้วเครื่องมือตัวนี้จะบอกเราถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างราคาสูงสุด กับต่ำสุดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
- RSI สามารถใช้ได้แบบเดียวกันกับ MACD ซึ่งมันทาให้เกิดสัญญาณ Divergence ซึ่งถ้าคุณเห็นการเกิด Divergence หมายความว่าคุณก็จะการจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นจุดกลับตัวได้
- คุณจะเห็นได้บ่อย ๆ ว่า RSI นั้นเกิดภาวะ Overbought Oversold อยู่ช่วงหนึ่ง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับทิศทางของเทรนด์
- ถ้าเทรนด์นั้นเกิดสัญญาณ Oversold หรือ Overbought มาช่วงระยะเวลาหนึ่งและเริ่มกลับเข้ามาสู่ระยะปกติของ RSI เป็นสัญญาณที่ดีว่าเทรนด์นั้นอาจจะเกิดการกลับตัวขึ้น เมื่อ RSI เคลื่อนที่ลงมาต่ำกว่าที่ระดับ 70 มันเป็นสัญญาณว่าจะเกิดจุดกลับตัวขึ้น