ปัญหาที่ Bitcoin แก้คืออะไร???
Bitcoin คือเงินประเภทใหม่หรือสกุลเงินดิจิตอลที่ออกแบบมาเพื่อให้เราใช้ส่งหรือว่ารับเงินในรูปแบบออนไลน์โดยไม่ได้ผ่านสถาบันธนาคารใดๆ ไม่ได้เหมือนกับเงิน fiat เช่น U.S. dollar หรือปอนด์อังกฤษ เนื่องจากบิตคอยน์ไม่ได้ถูกควบคุมโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาล แต่ควบคุมโดยซอฟแวร์แทน
แล้วอะไรทำให้บิดคอยน์เข้ามาปฏิวัติวงการล่ะ?
Satoshi Nakamoto ได้เคยเขียน white paper ที่ชื่อ Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System ซึ่งข้อมูลให้รายละเอียดว่า สร้างเงินรูปแบบ “อิเล็กทรอนิกส์” (digital currency) ที่เป็นอิสระและไม่ได้ถูกควบคุมโดยหน่วยงานหรือรัฐบาล
ในตอนที่ Satoshi อยู่ในช่วงวิจัย เขาค้นพบว่าในอดีตมีการพยายามสร้างสกุลเงินดิจิทัลอยู่หลายครั้ง
ผู้บุกเบิกในยุคแรกๆ เช่น b-money, Bit Gold, Ecash, E-gold, Hashcash, Liberty Reserve และ RPOW แต่ใช้ไม่ได้ผลด้วยเหตุผลสองประการ
- Centralization เนื่องจากถูกควบคุมโดยตัวกลาง เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในหลายๆรูปแบบ เช่น สร้างเงินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้สำหรับส่วนตัว, ระบบถูกแฮ็กและเงินของผู้ใช้ถูกขโมย หรือถูกรัฐบังคับให้ปิดกิจการซึ่งหมายความว่าเงินของทุกคนหายหมด
- Double Spending เราไม่สามารถรู้ได้ว่าสกุลเงินนั้นถูกทำซ้ำหรือใช้ซ้ำซ้อนมาแล้ว (เงินปลอมในเวอร์ชันดิจิทัล)
ไม่เหมือนกับไฟล์รูปภาพ, PDF หรือเอกสาร เราไม่สามารถแนบเงินไปกับอีเมลแล้วส่งให้ใครก็ได้ เพราะเมื่อเราทำการโอน VALUE ระหว่างคนสองคน ต้องแน่ใจว่ามีการโอนย้ายจริงเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น สมมติว่า มีรูปถ่ายขนมปังขิงอยู่ 1 รูป และหากว่ามีคนอยากได้รูปนี้ เราจึงทำการแนบไฟล์รูปนี้ส่งไปให้ลูกค้าของเรา
แต่ตอนนี้มีรูปถ่ายทั้งหมดอยู่ 2 รูป 1 รูปจากเราและอีกรูปจากอีเมลที่เราทำการส่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราได้ทำการส่งสำเนารูปภาพไปให้ลูกค้า ไม่ใช่ไฟล์ต้นฉบับ แต่สำหรับเรื่องรูปภาพอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่ เพราะเราก็เห็นคนก๊อปรูปใน google แล้วมาทำผลงานของตัวเองก็มากถูกไหมครับ
แต่!… ถ้าเกิดขึ้นในวงการการส่งเงินดิจิทัล นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะถ้าสมมุติมอลลี่ทำการสแกน $1 แล้วตั้งชื่อว่า one-dollar.jpg
ใครๆก็สามารถก๊อปปี้และทำตามได้หรืออาจก๊อปออกมาหลายๆชุดเลยก็ได้ โดยแค่กด Ctrl+C และ Ctrl+V กฌสามารถสร้างได้โดยไม่มีจำกัด ถ้าทำอย่างงี้แล้วมูลค่ามันจะอยู่ตรงไหนล่ะ และปัญหานี้เรียกว่าปัญหา “double spend”
มากไปกว่านั้นถ้าหลายคนเป็นเจ้าของไฟล์ภาพ “one-dollar.jpg” ที่เหมือนกันทุกอย่าง แล้ว….ใครคือเจ้าของที่แท้จริง?
ดังนั้นเมื่อพูดถึงการชำระเงินแบบดิจิทัล มูลค่าสุทธิของการโอนทั้งหมดจะต้องเท่ากับ 0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น เมื่อ Ursula ส่ง $1 ให้ Molly, Ursula ควรเสีย $1 และ Molly ควรได้รับ $1
ก่อนจะมีบิตคอยน์วิธีเดียวที่สามารถส่งเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือบริษัทชำระเงิน เช่น PayPal, Venmo หรือ M-Pesa หรือเรียกง่ายๆว่าเรามี ผู้อำนาจแบบรวมศูนย์หรือ central authority
- มอลลี่เริ่มต้นด้วยเงิน 1 ดอลลาร์ในบัญชีของเธอ และเออร์ซูล่ามีเงิน 0 ดอลลาร์
- มอลลี่บอกให้ธนาคารโอนเงิน 1 ดอลลาร์ให้เออร์ซูล่า
- ธนาคารปรับยอดคงเหลือในบัญชีของ Molly และ Ursula
- ยอดคงเหลือในบัญชีของ Molly และ Ursula เป็นตัวเลขบนคอมพิวเตอร์
- มอลลี่และเออร์ซูลาไว้วางใจธนาคารในการทำให้ยอดเงินในบัญชีธนาคารเป็นปัจจุบันและถูกต้อง
แทนที่จะใช้เงินจริง 1 ดอลลาร์ Ursula และ Molly พึ่งพาธนาคารเพื่อทำธุรกรรมดิจิทัลในนามของพวกเขา
นี่สามารถแก้ไขปัญหา double spending ได้ แต่ปัญหาของธนาคารก็มี ยกตัวอย่างเช่น เราต้องไว้ใจและพึ่งพาธนาคารในการทำธุรกรรมของเรา, ธุรกรรมของเราอาจถูก “เซ็นเซอร์” โดยรัฐบาล ซึ่งธนาคารถูกกดดันให้บล็อกหรือปฏิเสธธุรกรรมด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลอื่นๆ, ธนาคารต้องรักษายอดเงินในบัญชีให้ถูกต้อง, ความเสี่ยงที่ธนาคารจะล้มละลาย
การที่ต้องพึ่งพาและไว้ใจธนาคารหรือบุคคลที่สาม เรียกว่า centralization problem
โดย Satoshi สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยการสร้างวิธีใหม่ในการใช้เงินในรูปแบบดิจิทัลที่ป้องกันการปลอมแปลงและสามารถส่งจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้โดยตรง (“peer-to-peer”) โดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงิน
ไม่มีธนาคารหรือตัวกลางอื่น ๆ อีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตหรือขออนุมัติ ถ้าต้องการโอนเงิน
โดย Bitcoin God ต้องการที่จะสร้าง เงิน digital ที่เรียกว่า DECENTRALIZED หรือการกระจายอำนาจที่สามาถทำให้เป็นรูปแบบของเงินระดับโลก ซึ่งหมายถึงเงินที่อยู่เหนือขอบเขตของประเทศหรือไม่มีรัฐบาลใดสามารถหยุดการทำธุรกรรมได้ (สิ่งนี้เรียกอีกอย่างว่า “การต่อต้านการเซ็นเซอร์”) หรือเรียกว่าเงินของโลกนั่นเอง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วต้องไม่ผ่านกระบวนการจากรัฐบาลหรือธนาคารกลางซึ่งเรียกว่า (เงินปลอดจากรัฐทั่วโลก global, state-free money)
ด้วยระบบนี้ช่วยให้ทุกคนที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเป็นผู้ส่ง ผู้รับ และจัดเก็บ “สกุลเงินดิจิทัล” นี้ได้ โดยสามารถส่งถึงโดยตรงเลยไม่ต้องผ่านตัวกลางก่อน
นี่คือทางเลือกใหม่สำหรับวงการการเงินที่จะมามีบทบาทไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่เราต้องมีก็คือ wallet และ อินเทอร์เน็ตเท่านั้น จริงๆแล้วมีแนวคิดเหล่านี้มาก่อน Bitcoin จะเกิดเสียอีก แต่เป็นแนวคิดที่กระจัดกระจายกัน โดย Satoshi ได้รวบรวมแนวคิดที่กระจัดกระจายเหล่านี้มารวมกันได้ ให้ออกมาเป็นรูปแบบใหม่และออกมาเป็นต้นฉบับ
(ที่มา : babypips.com)