Consumer Price Index หรือ CPI คืออะไร??
Consumer Price Index หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภค คือตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของสินค้าและบริการ เช่น อาหาร พลังงาน ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า การขนส่ง การรักษาพยาบาล ความบันเทิง และการศึกษา เป็นที่รู้จักกันว่าดัชนีค่าครองชีพ
ซึ่ง CPI นั้น เป็นหนึ่งในมาตรวัดสำคัญที่ถูกนำมาใช้วัดอัตราเงินเฟ้อ (การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาในระบบเศรษฐกิจ) ตามที่ผู้บริโภคประสบในค่าครองชีพในแต่ละวัน
โดยคนส่วนมากมักเข้าใจว่า ค่า CPI ที่เพิ่มขึ้นคืออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจริงๆเเล้วมันถูกใช้โดยผู้ค้าปลีกในการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคต โดยนายจ้างในการคำนวณเงินเดือน และโดยรัฐบาลในการกำหนดการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพสำหรับประกันสังคม
ดัชนีนี้เป็นมาตรวัดราคาที่เปลื่ยนไปเมื่อผู้บริโภค ซื้อสินค้าเเละบริการต่างๆไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร หรือสินค้าต่างๆ
โดยการลำดับคำนวนจะถูกแบ่งตามระดับความสำคัญว่าสินค้าชนิดไหน หรือ ประเภทไหน ที่มีความสำคัญมากกว่า ก็จะมีน้ำหนักมากกว่า เเต่ CPI นั้นจะไม่นำรายการการลงทุนมาคำนวนด้วย เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และประกันชีวิต โดยรายการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการออมและไม่นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในแต่ละวัน
ในแต่ละเดือน ”’สำนักสถิติแรงงาน (BLS)”’ จะเรียกผู้ช่วยด้านเศรษฐกิจมาเพื่อทำการสำรวจข้อมูลจากร้านค้าปลีก สถานบริการ หน่วยเช่า และสำนักงานแพทย์หลายพันแห่งทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อขอข้อมูลราคา หลายพันรายการที่ใช้ในการติดตามและวัดการเปลี่ยนแปลงราคาใน CPI ผู้ช่วยทางเศรษฐกิจเหล่านี้บันทึกราคาประมาณ 80,000 รายการในแต่ละเดือน ราคา 80,000 รายการเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่คัดเลือกทางวิทยาศาสตร์ของราคาที่ผู้บริโภคจ่ายสำหรับสินค้าและบริการที่ซื้อ
ซึ่งจะมีการทำบันทึกราคาไว้เพื่อทำการเปรียบเทียบ เเละหากสินค้าที่เลือกไม่มีจำหน่ายแล้วหรือหากมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพหรือปริมาณ (เช่น ไข่ที่ขายเป็นห่อละ 8 ฟอง เมื่อก่อนขายเป็นโหล) ของสินค้าหรือบริการตั้งแต่ราคาครั้งก่อน เมื่อรวบรวมแล้ว ผู้ช่วยด้านเศรษฐกิจจะเลือกรายการใหม่หรือบันทึกการเปลี่ยนแปลงคุณภาพในรายการปัจจุบัน
ข้อมูลที่บันทึกไว้จะถูกส่งไปยังสำนักงานแห่งชาติของ BLS ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความรู้โดยละเอียดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเฉพาะที่มีราคาตรวจสอบข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้องและสม่ำเสมอ และทำการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนที่จำเป็น สิ่งเหล่านี้อาจมีตั้งแต่การปรับปรุงสำหรับการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือปริมาณของสินค้าในบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการปรับปรุงที่ซับซ้อนมากขึ้นตามการวิเคราะห์ทางสถิติของมูลค่าของคุณสมบัติหรือคุณภาพของสินค้า ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์จึงพยายามป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงคุณภาพของสินค้าส่งผลกระทบต่อการวัดการเปลี่ยนแปลงราคาของ CPI
สรุปโดยรวม
CPI หรือ ดัชนีราคาขายปลีก ถูกมองว่าเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่มีความเเม่นยำที่สุดละมีแนวโน้มที่จะถือเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพด้วย ของนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน
เนื่องจาก เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น กำลังซื้อของเราจะลดลงในเวลาต่อมา ซึ่งหมายความว่าเงินที่เราหามาได้(หาได้เท่าเดิม) สามารถใช้ได้น้อยลง
ซึ่งความเเตกต่างระหว่าง CPI กับ PPI คือเรื่องของความเร็วในการรายงานเเละมุมมองจากฝั่งผู้ผลิต/ผู้บริโภค