บทที่ 4.DIVERGENCE (ความขัดแย้งกันในการเทรด)

2 พฤษภาคม 2022
webmaster

บทที่ 4.DIVERGENCE (ความขัดแย้งกันในการเทรด)

บทที่ 4.DIVERGENCE (ความขัดแย้งกันในการเทรด)

บทที่ 4.DIVERGENCE (ความขัดแย้งกันในการเทรด)

การใช้ Divergence (ความขัดแย้งกัน) ในการเทรด

Divergence สามารถจะมามองเห็นด้วยการเปรียบเทียบพฤติกรรมราคา กับ การเคลื่อนไหว

ของอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ไม่สำคัญว่าจะเป็น อินดิเคเตอร์ ประเภทไหน คุณจะใช้ RSI, MACD, stochastic, CCI, ฯลฯ.

แต่สิ่งสำคัญส่าหรับ Divergences คือคุณสามารถใช้มันในการเป็นตัวน่าทาง ในการตัดสินใจในการเทรดและ วิธีใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก ปกติแล้วคุณสามารถจะทำก่าไรได้อย่างต่อเนื่องเองด้วยการเทรดด้วย Divergence และข้อดีของ Divergence คือ คุณแทบจะซื้อได้ในราคาต่ำสุดของเทรนด์ขาขึ้นและ Sell ได้สูงสุดของเทรนด์ขาลงเลย ซึ่งท่าให้คุณลดความเสี่ยงลงไปได้มากและท่าให้คุณได้กำไรมากเช่นกันในที่นี้จะแบ่ง Divergence Type ออกเป็น 4 ประเภทตามภาพ

  1. Regular divergence (bullish LL/HL) Divergence  ปรกติ
  2. Regular divergence (bearish HH/LH) Divergence  ปรกติ
  3. Hidden divergence (bullish HL/LL) Divergence  แฝง
  4. Hidden divergence (bearish LH/HH) Divergence  แฝง

1.Regular divergence (bullish LL/HL) Divergence ปรกติ

  • Divergence ปกติจะใช้ในการบอกว่าอาจจะมีสัญญาณการกลับตัวของเทรนด์เกิดขึ้น
  • ถ้าราคาเกิดรูปแบบ Lower lows (LL), แต่ว่า ตัว oscillator เกิด higher lows (HL), เราเรียกลักษณะการเกิดแบบนี้ว่า regular bullish divergence. หรือว่าการเกิด Divergence ขาขึ้นแบบปกติ
  • ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการจบเทรนด์ขาลง หรือหลังจากที่มีการเกิดรูป Double bottom ที่สองขึ้นมา ถ้า Oscillator ท่าท่าเหมือนจะเกิดราคาต่ำกว่าเดิม (New Low) แต่ว่าทิศทางราคาท่าท่าเหมือนว่าจะขึ้น และโมเมนตั้มของราคาก็ดูเหมือนจะขยับไปในทิศทางเดียวกัน
  • ข้างล่างนี้เป็นภาพตัวอย่างของ Regular bullish divergence หรือการเกิด Divergence ขาขึ้นแบบปกติ
  • ตอนนี้ ถ้าราคาได้เกิด Higher high (HH), แต่ว่าตัว oscillator กลับเกิด Lower high (LH), คุณก็จะได้สัญญาณ regular bearish divergence หรือ Divergence ขาลงแบบปกติ
  • Divergence ลักษณะนี้ สามารถพบได้ในขาขึ้น หรือหลังจากที่ราคาเกิดราคาสูงสุดครั้งใหม่ ถ้าตัว Oscillator เกิด Lower High คุณอาจจะคาดได้ว่าราคากำลังจะเกิดจุดกลับตัวและร่วงลงมา

2.Regular divergence (bearish HH/LH) Divergence ปรกติ

ในรูปข้างล่างนี้ เราจะเห็นว่าราคาเกิดจุดกลับตัวหลังจากที่มันพยายามท่าราคาสูงสุดครั้งใหม่

จากรูปข้างบน การเกิด Divergence แบบปกติเหมาะส่าหรับการเข้าออร์เดอร์ในจุดที่ต่ำสุดหรือสูงสุด ซึ่งคุณจะใช้ในการมองว่าจุดไหนจะเป็นจุดกลับตัว

ส่วนตัวสัญญาณ Oscillator นั้น ถ้ามันเริ่มที่จะมีการ Divergence แล้ว ถึงแม้พฤติกรรมของราคายังจะเกิด higher high (or lower low) นั่นหมายความว่าเทรนด์จะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป

3.Hidden divergence (bullish HL/LL) Divergence แฝง

  • ตัว Divergence นั้นนอกจากจะให้สัญญาณจุดกลับตัวแล้วยังใช้ในการบอกสัญญาณว่าจะเกิดเทรนด์ต่อเนื่องหรือไม่ด้วย
  • Hidden bullish divergence หรือ divergence ขาลงแบบแฝง เกิดขึ้นเมื่อราคาได้เกิด higher low (HL) (การปิดสูงกว่าราคา Low) แต่ว่าตัว oscillator กลับให้สัญญาณ lower low (LL). สัญญาณนี้หมายความว่าค่าเงินนั้นกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เมื่อราคาเกิด Higher low ให้จับตาดูว่าถ้าตัว oscillator มีความเคลื่อนไหวคล้ายกัน แต่ถ้าตัว Oscillator ไม่ได้เกิดสัญญาณ lower low คุณก็จะได้สัญญาณhidden divergence หรือสัญญาณ Divergence แฝงมา

4.Hidden divergence (bearish LH/HH) Divergence  แฝง

จากภาพเราจะได้สัญญาณ Hidden bearish divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแฝง ซึ่งรูปแบบนี้จะเกิดเมื่อตลาดให้สัญญาณ lower high (LH) แต่ตัว oscillator กำลังท่ารูปแบบ higher high (HH). คุณอาจจะคิดว่าเป็นรูปแบบของเทรนด์ขาลง เมื่อคุณเจอรูปแบบ Hidden bearish divergence นั่นหมายความว่า โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง อย่างต่อเนื่องเป็นไปได้สูง

Higher Highs and Lower Lows

ถ้าราคา เกิด Higher highs, (ท่าราคาสูงสุดครั้งใหม่) ตัว oscillator (MACD RSI ฯลฯ) ควรจะมีรูปแบบ higher highs. ด้วย ถ้าราคาเกิดรูปแบบ Lower lows, ตัว oscillator ก็ควรจะมีรูปแบบ lower lows.ด้วยเช่นกัน

แต่ถ้าไม่ นั่นหมายความว่าราคาและ Oscillator ก่าลังเกิดการขัดแย้ง Divergence ซึ่งกันและกัน และด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่า Divergence

การเทรดโดยใช้ Divergence เป็นเครื่องมือ ที่ยอดเยี่ยมที่คุณควรจะมีในกล่องเครื่องมือของคุณเพราะว่าสัญญาณ Divergence ที่คุณได้มานั้นจะบอกเราว่าจะมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และคุณควรจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด

การใช้ Divergence ในการเทรดในการหาจุดกลับตัว หรือว่าเมื่อตลาดหมดแรง บางครั้งคุณอาจจะใช้มันเป็นสัญญาณบอกว่าเทรนด์จะไปต่อรึเปล่าด้วยก็ได้!

จ่าไว้เสมอว่า regular divergences เป็นสัญญาณว่าอาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ขณะที่ hidden divergences เป็นสัญญาณว่าเทรนด์จะยังคงมีต่อไป

เราจะใช้ Divergences ในการเทรดได้อย่างไร

  • สิ่งแรก ให้มาดู Divergence แบบ regular divergence ก่อน ข้างล่างนี้เป็นกราฟของคู่เงิน USD/CHF กราฟวัน

เราจะเห็นการร่วงลงของราคาในเทรนด์ขาลงซึ่ง USD/CHF กำลังอยู่ในเทรนด์ขาลง อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบอกว่าขาลงกำลังจะหมดไป

ขณะที่ราคาได้เกิดรูปแบบ Lower lows (ตามกราฟแท่งเทียน) แต่ stochastic (ตัวอินดิเคเตอร์ที่เราเลือกใช้) กำลังแสดงภาวะ higher low. แล้วมันเกิดการกลับตัวในท้ายที่สุดหรือไม่ เป็นเวลาที่ต้องส่งออร์เดอร์ Buy

  • ผลที่ออกมาคือ การเกิดความขัดแย้ง หรือ Divergence ระหว่าง stochastic และพฤติกรรมราคาเป็นสัญญาณที่ดีในการส่งค่าสั่ง Buy ราคาทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงขึ้นไปและเกิดรูแบบเทรนด์ขาขึ้นใหม่ ถ้าคุณซื้อที่ใกล้จุดต่ำสุด คุณสามารถทำกำไรได้มากกว่าพันจุด

ต่อไปเรามาดุตัวอย่างของรูปแบบ Hidden divergence กันบ้าง อีกครั้งเราลองมาดูที่กราฟ USD/CHF กันบ้าง ในกราฟวัน.

ราคาได้เกิดรูปแบบ Lower High แต่ว่าตัว stochastic กำลังเกิด higher high ขึ้น ตามหลักการที่เราเรียนรู้มา นี่เป็น รูปแบบ Hidden bearish divergence หมายความว่า เทรนด์จะเกิดต่อไป

เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับ Momentum

  • ขณะที่การใช้ Divergence ในการเทรดนั้นเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมนั้นคุณยังต้องเอาใจใส่กับการไม่เข้าเทรด เร็วเกินไปด้วย เพราะว่าคุณไม่ได้รอให้เกิดสัญญาณยืนยันเสียก่อน ข้างล่างเป็นเกร็ดเล็ก น้อย ที่จะใช้ในการยืนยันสัญญาณว่า Divergence ที่ให้มีความแม่นย่าขนาดไหน
  • รอให้เกิดการ Crossover (ตัดข้ามเส้น)
  • แต่เป็นเหมือนกับกฏมากกว่า เช่นว่ารอให้เกิดการตัดข้ามเส้น อินดิเคเตอร์ก่อน ซึ่งมันจะช่วยยืนยันเราได้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณ Buy หรือสัญญาณ Sell เหตุผลหลักในเรื่องนี้ที่คุณจะต้องรู้จักรอ เพราะว่าการเกิดรูปแบบ Divergence ยังไม่ชัดเจนพอที่เราจะยืนยันได้ว่ามันเกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นแล้ว

ในกราฟข้างบน ค่าเงินปรากฏรูปแบบ Lower highs ขณะที่ Stochastic เกิดรูปแบบ Higher high ตอนนี้ซึ่งตอนนี้สัญญาณ bearish divergence ณ จุดนี้และมันเหมาะที่เราจะส่งออร์เดอร์ Sell  เราควรจะรอดูมันซักหน่อย คืออย่างน้อยรอให้ Stochastic เกิดรูปแบบการตัดลงก่อน เพื่อยืนยันสัญญาณว่าเป็นขาลงต่อเนื่องจริง ๆ

หลังจากนั้นไม่กี่แท่ง Stochastic ก็ตัดข้ามกันลงมา ถ้าเรา เทรดบน bearish divergence นี้ท่าให้เราได้กำไรอย่างแน่นอน

ให้หลุดแนว Overbought / oversold

  • เราต้องรอให้ Momentum ในอินดิเคเตอร์ของเราชนแนว overbought และ oversold ของเราเสียก่อน และให้รอมันหลุดแนว Overbought และ Oversold ลงมา เพื่อเป็นการยืนยันสัญญาณ
  • เหตุผลในเรื่องนี้ก็เหมือนๆกัน กับการรอให้เกิดการ Crossover ของอินดิเคเตอร์ (Stochastic) คุณไม่ควรจะเข้าเทรดเมื่อ Momentum ของอินดิเคเตอร์กำลังจะยกตัวขึ้น
  • สมมุติว่าคุณกำลังดูที่กราฟ และสังเกตว่า Stochastic ได้เกิดราคาต่ำสูดครั้งใหม่ขึ้น (New Low) แต่ว่ากราฟแท่งเทียนไม่ได้แสดงอย่างนั้น

วาดเส้น Trend lines ในตัวอินดิเคเตอร์

เคล็ดลับนี้เป็นประโยชน์เมื่อเรากำลังมองการจุดกลับตัว หรือว่า การเกิดเบรคเอาท์ เมื่อคุณเห็นราคาสามารถวาดเทรนด์ไลน์ได้ ให้คุณวาดเส้นเทรนด์ไลน์ในตัวอินดิเคเตอร์ของคุณเข้าไปด้วย

คุณจะเห็นว่า อินดิเคเตอร์ที่เราใช้นั้นยังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับเทรนด์ไลน์เลย ถ้าคุณเห็นราคาทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน และตัวอินดิเคเตอร์ที่เราใช้มันทะลุเส้นเทรนไลน์ขึ้นมา หมายความว่าอาจจะเกิดการกลับเทรนด์ขึ้นได้ ใช่ทะลุขึ้นไป Break it down

กฏ 9 ข้อในการใช้ Divergence

1. ในการเกิด Divergence นั้น ราคามักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้:

  • Higher high สูงกว่าราคา high ก่อนหน้า
  • Lower low ต่ำกว่า ราคา low ก่อนห้า
  • Double top
  • Double bottom

อย่าพึ่งไปดูตัวอินดิเคเตอร์ ถ้าเกิดว่าไม่มีการเกิดรูปแบบนี้ขึ้นมา ถ้าคุณไม่ได้ทำตาม คุณก็ไม่ได้เป็นนักเทรด Divergence หรอก คุณเป็นแค่นักเทรดที่ใช้จินตนาการคิดไปเอง

2. วาดเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ราคา สูงสุด และราคาต่ำสุด

  • คุณต้องลองวาดดูแล้ว(ตามราคาตอนนี้) ลองดูในกราฟที่เรามีตามภาพ จ่าไว้ว่า คุณจะต้องเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ก่อน : Higher high, หรือ New high, lower low, หรือ New low.
  • แล้วลองวาดเส้นจากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของราคาแล้วลากย้อนกลับจากจุดังกล่าวไปยังจุด ต่ำสุด หรือสูงสุดก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็น่าจะได้เส้นตามที่เราคาดไว้

3. ให้ลาก TOPS และ BOTTOMSเท่านั้น

  • เมื่อคุณเห็นราคาท่า High สองครั้ง ให้คุณลากเส้นจากจุด Top อีกตัวหนึ่ง มายังจุด Top อีกที่หนึ่ง ตอนนี้คุณก็จะได้เส้นมา และในทางกลับกัน ถ้าเกิดราคาต่ำสุดสองครั้งคุณก็ท่าเช่นเดียวกัน กับ Bottoms

4. จับตาดูที่ราคาตลอด

  • ถ้าคุณได้เชื่อมหรือลากเส้นจากจุด Top หรือ Bottom ทั้งสองมาชนกันแล้วตอนนี้ ให้มองหาอินดิเคเตอร์ที่คุณจะใช้ในการเปรียบเทียบกับพฤติกรรมราคานี้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณอยากใช้ จำไว้ว่าให้เปรียบเทียบ Top หรือ Bottom ซึ่งบางตัวอย่างเช่น MACD หรือว่า stochastic มีเส้นสองเส้นและวิ่งขึ้น ๆ ลง ๆ

5. ให้ทำตัวเหมือนกับ Pip Diddy

  • ถ้าคุณลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดสองจุดแล้ว คุณต้องลากเส้นเหมือนกับที่คุณทำในกราฟแท่งเทียนในอินดิเคเตอร์ของคุณด้วย ทั้ง High และ Low เพื่อให้มันสัมพันธ์กัน

6. ให้ตรงกับแนว

  • จุด High หรือ low ที่คุณวิเคราะห์ออกมาในอินดิเคเตอร์ของคุณต้องเป็นแนวเดียวกันกับราคาในกราฟที่เกิดรูปแบบ High หรือ Low

7. ใช้ความชันของกราฟ

  • Divergence จะเกิดขึ้นเมื่อ ความชันของกราฟนั้นแตกต่างกัน ระหว่างความชันของกราฟ กับความชันของ Indicator ซึ่งความชันอาจจะออกมาในรูปของ: Ascending (เฉียงขึ้น) descending (เฉียงลง) Flat (ราบ)

8. ถ้าเราตกเรือแล้ว ให้รอลำต่อไป

  • ถ้าคุณจะเทรดโดยใช้ Divergence แต่ว่าราคานั้นได้วิ่งไปไกลแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันเกิดเทรนด์ไปแล้วนั่นเอง สิ่งที่คุณควรจะทำคือ รอ แลรอให้มันเกิดการสวิง High Low ครั้งต่อไป

9. กลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

  • สัญญาณ Divergence นั้นดูจะใช้ได้ในกราฟที่ Time Frame ยาว ๆ คุณจะไม่ค่อยพบสัญญาณหลอกมากนัก ซึ่งหมายความว่าคุณก็ไม่ได้เทรดบ่อยมากนักด้วยแต่ถ้าคุณวางลักษณะการเทรดของคุณดี ๆ กำไรที่คุณจะได้ก็เป็นกำไรก้อนโต ๆ แต่ถ้าเราใช้ใน Time Frame ที่สั้นหน่อย มันก็จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือซักเท่าไหร่ เราแนะนำให้คุณใช้กับกราฟ Time Frame หนึ่งชั่วโมงขึ้นไป
อ่านบทความ Forex Professional ทั้งหมด

สมัครเปิดบัญชีเทรดกับเรารับ ฟรี SERVER ฟรี VPS และ ระบบเทรดอัตโนมัติ หรือ Expert Advisor (EA)