Coinbase เปิดตัวแคมเปญ Pro-crypto ในสหรัฐอเมริกา ระดับเริ่มต้น

Coinbase เปิดตัวแคมเปญ Pro-crypto ในสหรัฐอเมริกา ระดับเริ่มต้น Coinbase ได้เปิดตัวแคมเปญทางการเมืองระดับเริ่มต้น เพื่อส่งเสริมนโยบายสนับสนุนคริปโต ตามหัวข้อ Twitter จากบริษัทเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์

บริษัทกล่าวว่าแคมเปญ #Crypto435 มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายชุมชนผู้สนับสนุน crypto และจัดหาเครื่องมือและทรัพยากรเพื่อให้ผู้ใช้ crypto สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพในเขตรัฐสภาทั้ง 435 แห่ง

Coinbase ได้แชร์ลิงก์ไปยังหน้าลงทะเบียน โดยขอให้ผู้ใช้ระบุรายละเอียดส่วนตัว ได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม และจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการติดต่อนักการเมืองเฉพาะในเขตท้องถิ่นของพวกเขา

“ชุมชน crypto มาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว การตัดสินใจโดยผู้ออกกฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลใน DC และทั่วประเทศจะส่งผลต่ออนาคตของวิธีที่เราสามารถสร้าง ซื้อ ขาย และใช้คริปโต”

การประกาศดังกล่าวมีเสียงตอบรับที่แตกต่างจากผู้ใช้อย่างมาก Twitter หลายคนเห็นด้วยและแสดงความชื่นชมด้วยข้อความ โดยกล่าวว่า “Crypto คือสิ่งที่เราทุกคนสามารถมารวมกันและสนับสนุนได้”

แต่ในขณะเดียวกัน คอมมู XRP บางคนกล่าวหาว่า การประกาศนั้นเสแสร้ง หาก Coinbase ต้องการต่อสู้กับอำนาจที่เป็นอยู่จริงๆ ก็จะไม่เพิกถอน XRP หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ระบุว่าเป็นหลักทรัพย์

แม้จะมีบทบัญญัติด้านภาษีเพียงเล็กน้อยที่ประกาศใช้ในปี 2021 แต่รัฐสภาสหรัฐฯ ยังไม่ได้ผ่านกฎหมายใดๆ ที่กำหนดสกุลเงินดิจิทัลหรือให้แนวทางการกำกับดูแลเฉพาะสำหรับธุรกิจสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศสิงคโปร์ที่สภานิติบัญญติได้ออกกฎหมายที่ระบุข้อกำหนดสำหรับการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในประเทศโดยเฉพาะ

Gary Gensler ประธาน SEC ได้แย้งว่ากฎหมายหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่บังคับใช้กับ crypto ในบางกรณี แต่ Nexo และบริษัทคริปโตอื่นๆ อ้างว่ากฎหมายของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนั้นคลุมเครือมาก อุตสาหกรรมจึงไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตามอย่างไร

การถกเถียงเกี่ยวกับกฎระเบียบของคริปโต ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันทั้งภายในและภายนอกชุมชน crypto และในขณะที่บริษัท crypto บางแห่งเคยบริจาคเงินให้กับกลุ่มวิ่งเต้น ความพยายามของ Nexo ในการจัดแคมเปญทางการเมืองระดับรากหญ้าดูเหมือนจะเป็นแนวทางใหม่

(Source : cointelegraph.com)