เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 75 bps อีกครั้งในวันที่ 2 พ.ย.เพื่อหยุดอัตราเงินเฟ้อ จากการสำรวจของรอยเตอร์
ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 จุดติดต่อกันเป็นครั้งที่สี่ในวันที่ 2 พ.ย. ตามที่นักเศรษฐศาสตร์สำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ซึ่งกล่าวว่าธนาคารกลางอาจไม่ควรหยุดขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ระดับปัจจุบันของมัน
ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเสี่ยงจากภาวะถดถอยที่มากขึ้น การสำรวจยังแสดงให้เห็นความน่าจะเป็นเฉลี่ย 65% ภายในหนึ่งปี เพิ่มขึ้นจาก 45%
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าผู้กำหนดนโยบายจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกองทุนของรัฐบาลกลางขึ้น 3 ใน 4 ของจุดเปอร์เซ็นต์เป็น 3.75%-4.0% ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง และการว่างงานอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดก่อนเกิดโรคระบาด
ผลลัพธ์ในการสำรวจความคิดเห็นสอดคล้องกับการกำหนดราคาฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไป และมีเพัยง 4 คนเท่านั้นที่คาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 50 จุดเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ในโพลในวันที่ 17-24 ต.ค. คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นจุดพื้นฐานอีก 50 จุดในเดือนธันวาคม โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 4.25%-4.50% ภายในสิ้นปี 2565 ซึ่งตรงกับค่ามัธยฐานของ “จุดพล็อต” ของเฟด
“เจ้าหน้าที่ของเฟดระบุว่าการหยุดชั่วคราวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อหลักฐานที่ ‘ชัดเจนและน่าสนใจ’ ว่าอัตราเงินเฟ้อได้ลดลงแล้ว” เบรตต์ ไรอัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสหรัฐที่ Deutsche Bank กล่าว
Jan Groen หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านมหภาคของสหรัฐฯ ที่ TD Securities กล่าวว่า “การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เราเห็นมาก่อนหน้านี้ มุ่งเป้าไปที่อัตรากองทุนเฟดที่แท้จริงในเชิงบวกในช่วงต้นปี 2566” Jan Groen หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านมหภาคของสหรัฐที่ TD Securities กล่าว สำหรับอัตราเงินเฟ้อ
“ด้วยการที่เฟดยังคงเข้มงวดในเชิงรุกเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่คงอยู่ เราคาดว่าภาวะถดถอยในระดับปานกลางน่าจะเริ่มในไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า เนื่องจากการเติบโตที่แท้จริงจะลดลงในเชิงลบ และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
ในปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งเป็นการคาดการณ์ที่ปรับลดต่ำลงในการสำรวจความคิดเห็นของ Reuters ทุกเดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เฟดเริ่มปรับขึ้นครั้งแรกในเดือนมีนาคม หลังจากเติบโตเฉลี่ย 1.7% ในปีนี้
อัตราการว่างงานคาดว่าจะเฉลี่ย 3.7% ในปีนี้ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% และ 4.8% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ เป็นการยกระดับจากการสำรวจครั้งก่อน แต่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในภาวะถดถอยครั้งก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
(ที่มา : สำนักข่าวรอยเตอร์)