5 ปัจจัยที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ (31 ต.ค.- 5 พ.ย.)
ธนาคารกลางสหรัฐฯ และ ธนาคารกลางอังกฤษ ต่างมั่นใจที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 จุดในวันพุธและพฤหัสบดีตามลำดับ เนื่องจากการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องยังคงดำเนินต่อไป และนี่คือ 5 สิ่งที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้
1.การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าจะเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกินมาตรฐาน 75 จุดเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกันหลังการประชุม ในวันพุธ
สัญญาณจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะชะลอตัวลงหรือไม่ หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้
ตลาดการเงินคาดโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 จุดในการประชุมธันวาคมของเฟดและอีก 50 จุดในการประชุมสองครั้งแรกของปีหน้า
2.ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ
การแถลงข่าวของเฟดในวันพุธและรายงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ประจำเดือนตุลาคมของสหรัฐในวันศุกร์จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้นักลงทุนตั้งความคาดหวังก่อนการประชุมในเดือนธันวาคมของธนาคารกลางสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดว่ากระทรวงแรงงานจะรายงานว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงาน 200,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว เทียบกับ 263,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน ขณะที่การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงต่อปีก็คาดว่าจะลดลงเช่นกัน
3.การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ
BoE มีแนวโน้มจะขึ้น อัตราดอกเบี้ย 75 จุดในวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นครั้งที่แปด ในขณะที่ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงกว่า 10% แล้วในขณะนี้ – แม้ว่าสหราชอาณาจักรจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ที่อาจรุนแรงขึ้นได้ด้วยการลดการใช้จ่ายภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่
ริชิ ซูนัค ความคาดหวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบเต็มเปอร์เซ็นต์ถูกปรับลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกระทรวงการคลัง เจเรมี่ ฮันท์ กลับลำแผนการลดภาษีที่วางแผนไว้ของอดีตนายกรัฐมนตรี ลิส ทรัส และลดโครงการจำกัดพลังงานของเธอลงเหลือหกเดือนจากสองปี
4.ข้อมูลจากยูโรโซน
ยูโรโซนเผยแพร่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อสำหรับเดือนตุลาคมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.7% เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ธนาคารกลางยุโรปได้ส่งมอบนโบาย ขึ้นอัตรา 75 จุด เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และข้อสังเกตที่ตามมาโดยผู้กำหนดนโยบายระบุว่าจะเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อป้องกันเงินเฟ้อยืดเยื้อ แม้จะกลัวภาวะถดถอยที่ใกล้เข้ามา
วิกฤตการณ์พลังงานในยุโรปที่เกิดจากสงครามของรัสเซียในยูเครนทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงอยู่แล้วรุนแรงขึ้นส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวลง
5.รายงานผลประกอบการ
บริษัท 263 แห่งใน S&P 500 ได้รายงานไปแล้ว และบริษัท S&P 500 มากกว่า 150 แห่งมีกำหนดจะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในสัปดาห์หน้า รวมถึง Eli Lilly (NYSE:LLY) ConocoPhillips (NYSE:COP) และ Qualcomm (NASDAQ:QCOM)
การเปิดเผยรายได้ประสบความล้มเหลวจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายราย อย่าง Amazon (NASDAQ:AMZN), Microsoft (NASDAQ:MSFT), Google parent Alphabet (NASDAQ: GOOGL) และ Meta (NASDAQ:META)
Wall Street ปิดสูงขึ้นในวันศุกร์โดย S&P และ Nasdaq โพสต์กำไรรายสัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง และดาวโจนส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกันโดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่เฟดจะกลับลำนโยบาย
(ที่มา : สำนักข่าวรอยเตอร์)