สรุปเส้นแนวรับแนวต้าน
สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้คือระดับแนวรับและแนวต้านคือเราไม่สามารถยืนยันตัวเลขที่แน่นอนได้ เพื่อช่วยให้เรากรองการ false breakout ได้ เราควรปรับ mindset ที่ว่าแนวรับแนวต้านเป็น “โซน” มากกว่าเป็นตัวเลขที่เป็นรูปธรรม
วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราค้นหาคำว่าโซนนี้ได้ คือพล็อตแนวรับและแนวต้านบน line chart (กราฟเส้น) แทนที่จะเป็น candlestick chart (กราฟแท่งเทียน)
แนวรับและแนวต้านสามารถ “สลับบทบาท” กันได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้คือเมื่อราคาผ่านระดับแนวต้าน แนวต้านนั้นสามาการถกลายเป็นแนวรับได้
เช่นเดียวกันอาจเกิดขึ้นกับระดับแนวรับ หากระดับแนวรับถูกทำลาย ก็อาจกลายเป็นแนวต้านได้เช่นกัน
แนวคิดนี้เรียกว่า “role reversal (สลับบทบาท)”
เส้นแนวโน้ม
แนวโน้มมีสามประเภท
แนวโน้มขาขึ้น (higher lows)
แนวโน้มขาลง (lower highs)
Sideways หรือไม่มีเทรนด์ (ranging or flat)
Trend Channels
Trend Channels มีทั้งหมดสามประเภท ได้แก่
- Ascending channel (ทำ higher highs และ higher lows)
- Descending channel (ทำ lower highers และ lower lows)
- Horizontal channel (ranging หรือ sideway)
ในการสร้างช่อง sideways (horizontal) ให้วาดเส้นคู่ขนานที่มุมศูนย์หรือมุม flat angle
วิธีการเทรดแนวรับและแนวต้าน
ระดับแนวรับและแนวต้านการซื้อขายสามารถแบ่งออกเป็นสองวิธี
- การ “bounce”
- การ “break“
เมื่อทำการซื้อขายด้วยการเด้งหรือ bounce เราจะเทรดโดยการรอให้ราคาลงไปถึงแนวรับที่เราตีไว้และรอคอนเฟริ์มจากการเด้งกลับของราคา หรือ เด้งก่อนเข้า
สำหรับการซื้อขายช่วงเบรก break จะมี 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ aggressive way และ conservative way ในวิธี aggressive way สามารถเปิดออเดอร์เมื่อตอนที่ราคาสามารถเบรกแนวรับหรือแนวต้านได้
ในวิธี conservative way เราจะรอให้ราคาทำการ “pullback” ไปที่ระดับแนวรับหรือแนวต้านก่อนและจะเปิดออเดอร์หลังจากราคาเด้งที่แนวรับหรือแนวต้าน
(ข้อมูลจาก : babypip.com)