เว็บบอร์ด

18 มีนาคม 2020

เว็บบอร์ด

เว็บบอร์ด แห่งนี้เป็นเพียงสื่อกลางเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้นทาง เราไม่สามารถรับผิดชอบต่อผลกำไรขาดทุนของท่านได้

การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

เทรดหุ้นจริงกับเทรดหุ้น CFD? ตัวเลือกไหนดีกว่ากัน?

(@atfx2019)
Honorable Member

เทรดหุ้นจริงกับเทรดหุ้น CFD? ตัวเลือกไหนดีกว่ากัน?

คำถามที่ว่าคุณควรซื้อขายหุ้นผ่านบัญชี CFD หรือบัญชีซื้อขายหุ้นปกติหรือไม่? ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าคุณต้องการลงทุนในตลาดแบบใด หากคุณเป็นนักลงทุนที่วางแผนจะถือครองหุ้นในระยะยาว ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงพอร์ตหุ้นของคุณบ่อย การซื้อหุ้นในบัญชีแบบเดิมๆ ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่หากคุณวางแผนที่จะเข้าออกตลาดหุ้นสองสามครั้งต่อเดือน เพื่อให้ทันต่อความผันผวนของราคา และสามารถทำกำไรจากการขึ้นลงของหุ้นในระยะสั้นๆ การลงทุนใน CFD คือตัวเลือกที่ดีที่สุด

ทำไมนักลงทุนถึงเทรดหุ้น CFD
CFD การลงทุนในสัญญาส่วนต่างของเวลาที่เป็นไปตามราคาหุ้น เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น มูลค่าของ CFD จะเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับขาลง แม้ว่าคุณจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการลงคะแนนในการประชุมของผู้ถือหุ้น แต่คุณยังได้รับผลประโยชน์มากมายจากการลงทุนผ่าน CFD อย่างไรก็ตาม การซื้อขายโดยใช้เลเวอเรจ (ที่มากเกินไป) อาจส่งผลเสียต่อผลตอบแทนของคุณ หากคุณไม่จัดการความเสี่ยงอย่างถูกต้อง

การเทรดมาร์จิ้น
การลงทุนใน CFD คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินในพอร์ตทั้งหมดเพื่อซื้อหุ้นที่คุณต้องการ ซึ่งไม่เหมือนกันกับการซื้อขายหุ้นปกติ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อหุ้น Tesla มูลค่า 10,000 ดอลลาร์ คุณต้องมีเงิน 10,000 ดอลลาร์เพื่อลงทุน ซึ่งหลายคนไม่มีกำลังทรัพย์ขนาดนั้น การลงทุนกับหุ้นด้วย CFD เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ และเพิ่มโอกาสให้กับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น

การลงทุนใน CFD ต้องการเพียงการฝากเงินหนึ่งในห้าส่วนเท่านั้น สมมุติว่ามีเงินลงทุน $10,000 เช่นเดิม CFD จะขอเงินฝากเพียง 20% หรือ 2,500 ดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้นเทสลามูลค่า 10,000 ดอลลาร์ ดังนั้น คุณสามารถเป็นเจ้าของหุ้นเทสลาได้ ด้วยต้นทุนที่ลดลง ทำให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงหุ้นตัวใหญ่ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ตลาดหุ้นจริงๆ

หากมูลค่าหุ้น Tesla เพิ่มขึ้น 10% ในสองสัปดาห์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะมีมูลค่า 11,000 ดอลลาร์ คิดเป็นผลตอบแทน 10% สำหรับนักลงทุนที่ซื้อหุ้นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ เจ้าของบัญชี CFD นี้จะได้รับผลตอบแทน 1,000 ดอลลาร์แม้ฝากเงินเพียง 2,500 ดอลลาร์เพื่อทำเงิน 1,000 ดอลลาร์ ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนของพวกเขาคือ 40% ลองคิดดูว่าหากไม่มี CFD ผลตอบแทนจะเท่ากับ 10% ของ 2500 หรือคิดเป็น 250 ดอลลาร์

เลเวอเรจเป็นเหมือนดาบสองคม
จริงอยู่ว่าการเทรดด้วยเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรของคุณมากขึ้น แต่มันก็ส่งผลเดียวกันกับการขาดทุนด้วยเช่นกัน การมีเลเวอเรจที่สูงขึ้นหมายความว่าคุณต้องสามารถจัดการบริหารเงินทุนได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบชุดความคิดนี้ในหมู่นักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้ว ถือเป็นความจริงที่น่าเศร้าที่เทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากเทรดด้วยจำนวนเลเวอเรจสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้น เพียงเพื่ออยากได้กำไรเร็ว โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูง เปรียบเทียบได้กับคนขับรถที่ไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ไปขับรถสปอร์ต แบบนั้นเลย

โบรกเกอร์บางแห่งเช่น ATFX จะมีวิธีช่วยเหลือลูกค้าในกลุ่มนี้ด้วยการมีกราฟราคา ที่มีเครื่องมือช่วยเหลืออย่างเพรียบพร้อม มีคำสั่งหยุดการขาดทุน และคำสั่งตัดทำกำไร เพื่อช่วยให้นักลงทุนจัดการคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ATFX ยังให้การศึกษาด้านการลงทุนที่ปรับให้เหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละบุคคล ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกค้าเรียนรู้วิธีควบคุมเงินในพอร์ต ไม่ให้ไหลไปตามความผันผวนของตลาด เป็นส่วนหนึ่งของตลาด ไม่ใช่การคิดต่อต้านตลาด

เคล็ดลับสำหรับมือโปร:
ในขณะที่การเทรดด้วยมาร์จิ้นช่วยให้คุณสามารถขยายผลกำไรของคุณได้ แต่มันก็สามารถกลายเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงให้คุณขาดทุนได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการเทรดด้วยเลเวอเรจที่สูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรายงานผลประกอบการรายไตรมาส จึงถือเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก

การเทรดดัชนีหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉลี่ยแล้วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 จะวิ่งขึ้นประมาณ 10.9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ซื้อขายหรือลงทุนรู้ดีว่าผลตอบแทนมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร บางปีดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวขึ้น 30% บางปีก็วิ่งไซด์เวย์หรือปรับตัวลดลง 10% นี่คือสิ่งที่นักลงทุนที่อยู่มานานเข้าใจดี แต่เทรดเดอร์รายใหม่หลายคนที่เข้าสู่ตลาดลงทุนเพราะวิกฤตโคโรนาไวรัสปี 2020 ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ พวกเขาเคยชินกับการซื้อตามคำแนะนำของคนอื่นเท่านั้น

ดังนั้น หลายคนจึงไม่เคยต้องถือพอร์ตไปพร้อมๆ กับตลาดไซด์เวย์หรือตลาดขาลง พวกเขาจึงไม่ทราบว่าการใช้กลยุทธ์ “ซื้อและถือยาว” (Buy-and-hold) ที่มีชื่อเสียงเป็นเรื่องยากเพียงใด ในระหว่างปี 2000 ถึง 2013 ดัชนี S&P 500 มีการวิ่งแบบไซด์เวย์อยู่ตลอด เป็นผลให้นักเลือกหุ้นที่เข้ามาช่วงนั้น ไม่สามารถทำกำไรได้ หรือทำได้ก็น้อย คนที่ลงทุนถือดัชนีในปี 2000 ต้องรอนาน 13 ปี ถึงจะเริ่มทำกำไรจากการถือครอง

หากคิดจะทำกำไรในช่วงที่เอสแอนด์พี 500 ไม่ได้วิ่งหวือหวา นักลงทุนจำเป็นต้องฉลาดในการเลือกหุ้น และนี่คือเหตุผลที่ทำการลงทุนด้วย CFD โดดเด่น

ทำไมถึงสามารถทำกำไรจากขาลงใน CFD ได้?
การชอร์ตหุ้น (Short) หมายความว่าคุณพยายามทำเงินจากราคาหุ้นในตลาดขาลง คุณสามารถทำเช่นนี้ได้กับโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น แต่คุณต้องกรอกแบบฟอร์มเพิ่มเติม นั่นจึงทำให้การชอร์ตหุ้นเป็นสิ่งที่ยุ่งยาก ที่สำคัญ การเลือกหุ้นที่จะชอร์ตจะมีขนาดไม่ใหญ่ ทำได้อย่างไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาด CFD

โดยปกติแล้ว โบรกเกอร์ผู้ให้บริการลงทุนผ่าน CFD จะอนุญาตให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นได้โดยตรงเหมือนกับโบรกเกอร์ทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ โบรกเกอร์เหล่านี้สามารถเข้าถึงกองทุนป้องกันความเสี่ยงเฉพาะทาง และผู้ให้บริการสภาพคล่องเฉพาะ ที่อนุญาตให้ขายชอร์ตได้ ดังนั้น โบรกเกอร์ CFD จึงได้เปรียบมากกว่าหากต้องการขายหุ้นระยะสั้น

กลยุทธ์การซื้อขายในตลาดหุ้น
กลยุทธ์การซื้อขายทั่วไปในหมู่ผู้เชี่ยวชาญคือการซื้อหุ้นของบริษัทที่คุณคิดว่าจะทำกำไรได้ดีและพร้อมขายหุ้นของบริษัท ที่คุณคิดว่าจะทำผลงานได้ไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน แน่นอน การซื้อหุ้นสองตัวพร้อมกันจะลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทั่วไป ดังนั้นหาก S&P 500 ขึ้นหรือลงในปีนั้นก็ไม่สำคัญ ในทางกลับกัน ผลตอบแทนของคุณจะสัมพันธ์โดยตรงกับความสามารถในการค้นหาหุ้นที่ดีและไม่ดี แทนที่จะวิเคราะห์ผลกระทบที่ตามมาจากการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ และประเด็นทางภูมิศาสตร์อื่นๆ

เทคนิคการเทรด CFD ให้ได้เปรียบตลาด
CFD ยังทำงานได้ดีในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่โลกยังเต็มไปด้วยความตระหยกต่อวิกฤตโรคระบาดในปี 2020 ราคาหุ้นของ Apple (AAPL) ได้ร่วงแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 53.19 ดอลลาร์ หลังจากลงไปถึงตรงนั้น หุ้นแอปเปิลก็ไม่ย้อนกลับขึ้นมาเป็นเวลา 162 วัน ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในวันที่ 2 กันยายน 2020 หุ้น AAPL มีราคาซื้อขายขึ้นแตะ $137 คิดเป็นผลตอบแทนรวม 157%

จริงอยู่ว่าผลตอบแทนนั้นน่าประทับใจ แต่การจะหาวิธีเข้าที่จุดต่ำสุดและหาทางปิดออเดอร์ที่จุดสูงสุดนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง ต่อให้ไม่มีโรคระบาด การจะเข้าที่จุดต่ำสุดแล้วปิดทำกำไรที่จุดต่ำสุด เรียกได้ว่าต้องเป็นผู้ที่มองเห้นอนาคตเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน CFD ไม่จำเป็นต้องค้นหาและซื้อหุ้น AAPL ที่จุดต่ำสุด นักลงทุนเพียงแค่ต้องซื้อเมื่อเห็นได้ชัดว่าหุ้นมีแนวโน้มสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หลังจากรายงานประจำไตรมาสเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2020 หุ้น Apple ก็มีราคาก็เพิ่มขึ้นประมาณ 36% ก่อนที่จะลดลงเพียงไม่กี่วันก่อนรายงานประจำไตรมาสถัดไปในเดือนกรกฎาคม 2022 การซื้อ Apple ด้วยเลเวอเรจสองครั้งจะได้รับผลตอบแทน 72% ในขณะที่การซื้อหุ้นที่มีเลเวอเรจสามครั้งจะได้ผลตอบแทน 108%

Apple ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นเดียวที่มีราคาซื้อขายสูงขึ้นในปี 2020 และ 2021 ดังนั้นการทำกำไรซ้ำจากการเทรดหุ้นหนึ่งตัว ไปยังหุ้นอีกหนึ่งตัวในกลุ่มเดียวกันจึงเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม

ต้นทุน
ค่าสเปรดและค่าคอมมิชชัน
นักลงทุนหุ้น CFD หุ้นส่วนใหญ่จะถือคำสั่งซื้อขายเป็นเวลาสองสามชั่วโมงถึงสองสามสัปดาห์เท่านั้น น้อยคนที่จะถือนานถึงสองสามเดือน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความถี่ในการซื้อขายเข้าออกตลาดสูง ค่าธรรมเนียมจึงมีความสำคัญมากขึ้นในทันใด โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์จะรู้ดีว่านักลงทุนในตลาดหุ้นปกติจะไม่เข้าออกออเดอร์บ่อย ดังนั้นจึงต้องเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมสูง โดยปกติคุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากับโบรกเกอร์ แต่การลงทุนใน CFD จะข้ามค่าคอมมิชชันเหล่านี้ไปทั้งหมด การเทรด CFD จึงประหยัดกว่า

ต้นทุนการลงทุน
หุ้น CFD เป็นตัวเลือกการลงทุนที่ใช้ระบบเลเวอเรจ หมายความว่าคุณสามารถถือออเดอร์ที่ใหญ่กว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชีได้ โบรกเกอร์จะให้คุณยืมเงินส่วนที่หายไป ในตัวอย่าง Tesla ของเรา หากคุณต้องการซื้อหุ้นในราคา $10,000 แต่มีเพียง $2500 โบรกเกอร์จะชดเชยส่วนที่ขาดไปเหล่านั้นได้

โชคดีที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในตอนนี้ยังถือว่าอยู่ระดับต่ำ จึงอัตราดอกเบี้ยของ CFD ก็ต่ำเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยรายปีเพื่อถือ CFD หุ้น Apple หรือ Tesla อยู่ที่ประมาณ 3% หากคุณถือออเดอร์เป็นเวลาหนึ่งปี คุณจะต้องจ่าย 3% ของมูลค่าออเดอร์ที่เปิดอยู่ ดังนั้น หากคุณซื้อ CFD ของหุ้น Tesla ในราคา $10,000 คุณจะมีค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระประมาณ $25 ต่อเดือน แต่เพราะหุ้นของเทสลาสามารถขึ้นหรือลงได้อย่างง่ายดายถึง 20% ภายในหนึ่งปี ทำให้ค่าธรรมเนียมมีผลกระทบต่ำกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นมาก

ตารางเปรียบเทียบ

โดยสรุปแล้ว
บัญชีหุ้นแบบดั้งเดิมและ CFD เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการลงทุน ทั้งสองแบบเติมเต็มซึ่งกันและกัน แทนที่จะแข่งขันกันโดยตรง บัญชีหุ้นแบบดั้งเดิมนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีหากคุณต้องการมีส่วนร่วมในบริษัทที่คุณซื้อหุ้น และหากคุณไม่ได้เป็นคนที่ต้องการเปลี่ยนออเดอร์ในพอร์ตคุณบ่อยนัก

ในทางกลับกัน CFD ของหุ้นนั้นตอบโจทย์ได้ดีกว่าหากคุณต้องการซื้อขายในระยะสั้น และต้องการทำกำไรจากทั้งขาขึ้นและลง การลงทุนใน CFD สามารถใช้ในกลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเช่นกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นระยะยาว/สั้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ CFD เพื่อเพิ่มกำไรในขณะที่คุณสามารถเข้าถึงเลเวอเรจได้ ซึ่งช่วยให้ผู้ที่มีเงินลงทุนน้อยเข้าสู่ตลาดหุ้นได้อย่างทัดเทียมนักลงทุนในตลาดหุ้นปกติ

หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง บทความนี้เป็นเพียงการให้คำแนะนำสำหรับการลงทุนเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาผลิตภัณฑ์ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเรียนรุ้การเทรดฟอเร็กซ์เพิ่มเติม https://www.atfx.com/th/markets/forex-trading
เปิดบัญชีเทรดโบรกเกอร์ ATFX เปิดบัญชีได้ตามลิ้งนี้
https://login-gm.atfx.com/register
เปิดบัญชีทดลอง Demo คลิก https://www.atfx.com/th/trading-accounts/demo-account
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม

อ้างอิง
หัวข้อเริ่มต้น โพสต์ : 04/04/2022 11:32 am